เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๖ ก.พ. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาฝึกข้อวัตรต้องทำ เหรียญมี ๒ ด้านนะ ดีและชั่ว เราดูหัวใจเราสิ เราเอาชนะใจเราได้ไหม เวลามาปฏิบัติ เราปฏิบัติเพื่ออะไรกัน ถ้าเรามาปฏิบัติ เราปฏิบัติเพื่อเอาชนะตัวเอง เวลาเรามองสังคมไป สังคมมองสิ เราทุกข์กับสังคม เราสู้แล้วชมเราก็มี ติเราก็มี เหรียญมี ๒ ด้านทั้งหมดน่ะ ในใจของเราก็มี ในใจของเรามีกิเลส แล้วธรรมะ ว่าธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม แล้วธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมที่ไหน? ธรรมะอยู่มีอยู่โดยดั้งเดิมก็จิต ปฏิสนธิจิตไง ปฏิสนธิที่เราเกิด นี่ธรรมมีอยู่โดยดั้งเดิม

“ใจสัมผัสธรรมเท่านั้น” เวลาเราไปศึกษาธรรมกัน เราศึกษาด้วยอาการของใจ ด้วยเงา ด้วยสัญชาตญาณของมนุษย์ แต่พุทธะน่ะ ว่าพุทธะมีอยู่แล้ว พอบอกพุทธะมีอยู่แล้ว ทุกอย่างมีอยู่แล้ว อยู่เฉยๆ ไม่ต้องเป็นพุทธะเอง...มันเป็นไปไม่ได้หรอก! ถ้ามันเป็นพุทธะเองนะ สมัยพุทธกาลนะ มันมีลัทธิหนึ่งเสพสุขเต็มที่เลยน่ะ ๕๐๐ ชาติ ถึงที่สุดแห่งทุกข์...มันเป็นไปไม่ได้หรอก เดี๋ยวนี้เสพขนาดไหน

ดูเด็ก ถ้าเราเป็นพ่อแม่ของเด็ก ถ้าเราต้องการให้เด็กเราเป็นคนดี เราจะปล่อยให้เด็กเราเอาแต่ใจตัวเองได้ไหม พ่อแม่ของเด็กต้องการให้เด็กเป็นคนดี พ่อแม่ต้องพยายามบังคับเด็ก สอนเด็ก ให้เด็กรู้จักดีกับชั่ว รู้จักถูกหรือผิด ถ้ารู้จักถูกหรือผิด ดูสิ จิตมันจะคุมตัวมันเอง เห็นไหม พ่อแม่ที่ดีจะรักษาลูก จะสอนลูกให้ยืนในสังคมได้

พ่อแม่ที่รักลูกจนเกินไป ปล่อยลูกจนเกินไป มันมีนะ การ์ตูนเขียนบ่อยมากเลย เวลาลูกติดคุก พ่อแม่ไปเยี่ยมน่ะ กัดหูเลย กัดเพราะอะไรรู้ไหม เอ้า.. เมื่อก่อนลักเอาของมาให้ แม่ก็ว่าของดีๆๆ ทุกอย่างเลย พอติดคุกขึ้นมา ดีที่ไหนล่ะ ดีติดคุก เพราะพ่อแม่ส่งเสริมไง พ่อแม่ไม่เข้าใจ ลูกก็เห็นพ่อแม่ว่าดีก็ว่าดี ก็ทำกันไป ถึงสุดท้ายอย่างไรมันก็ไม่ดี แล้วเยี่ยมขึ้นมา เพราะอะไร เพราะปล่อย นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันปล่อยแล้วมันเป็นความดีได้ ถ้ามันมีอยู่แล้วเป็นความดีได้ คนมันต้องเป็นความดีไปหมดแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องมีการบังคับกัน มันต้องมีการตั้งสติกัน มันต้องมีการต่อสู้กัน

การกระทำ ทุกคนจะอุทธรณ์ตลอด “ทำดีไม่ได้ดี.. ทำดีไม่ได้ดี..” แล้วความดีของเราเป็นความดีของกิเลสนะ ความดีของเราต้องการสุขสบาย ความดีของเราต้องการนอนอยู่เฉยๆ แล้วมีทรัพย์สมบัติมหาศาลเลย แต่ความดีของศาสนาไม่เป็นอย่างนั้น ความเพียรชอบ วิริยะอุตสาหะน่ะ ความเพียรชอบ ความเพียร ความวิริยะอุตสาหะ แล้วพวกเรา ชาวพุทธเรา พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง ทุกคนเกิดมาก็จะนอนตีแปลงเลย ไม่ทำอะไรเลย พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง นี่ความเห็นของโลก ความเห็นของโลกเห็นผิดๆ ทั้งนั้น

ถ้าความเห็นของธรรมนะ พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง แต่การปล่อยวางนั้น “โมฆราช เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ” ให้คนที่รู้ว่าว่างน่ะ ไม่ใช่มองดูว่าเป็นความว่างแล้วไม่รู้มันจะจบที่ไหน มันไม่จบหรอก ถ้ารู้ว่าเป็นความว่าง อากาศมันก็ว่าง จักรวาลนี้มันก็ว่างหมดน่ะ อวกาศ ดูสิ ดูดวงดาวมันอยู่ในจักรวาล มันมีอะไร อากาศมันว่างหมด ความว่างอย่างนี้ มันเป็นความว่างสิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่มีความรู้สึก

แต่ความว่างของศาสนา ความว่างของพระโสดาบัน ความว่างของพระสกิทาคามี ความว่างของพระอนาคามี ความว่างของพระอรหันต์.. พระโสดาบันกับพระสกิทาคามีว่างต่างกันอย่างไร ว่างของพระสกิทาคามีกับพระอนาคามีว่างต่างกันอย่างไร ว่างของอนาคามีกับว่างของพระอรหันต์มันต่างกันอย่างไร มันมีขอบเขตขนาดไหน มันมีความรู้สึกอย่างไร ขอบเขตอันนั้นบ้าทั้งนั้นน่ะ ขอบเขตตรงไหนมันว่าง มันว่างจากหัวใจ

พระโสดาบันก็ส่วนพระโสดาบันด้วยกัน อำนาจวาสนาพระโสดาบันก็ไม่เท่ากัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์.. พระอรหันต์ เอตทัคคะ ๘๐ องค์ ไม่เหมือนกัน ถ้าเหมือนกัน ทำไมพระพุทธเจ้าตั้งเอตทัคคะ ๘๐ องค์ มันไม่เหมือนกันด้วยอำนาจวาสนาบารมี แต่มันเหมือนกันด้วยอริยสัจ มันเหมือนกันด้วยสัจจะความจริง นิพพานสิ้นสุดแห่งทุกข์เหมือนกัน อาสเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสูติ.. อาสวะสิ้นไป จิตเป็นผู้วิมุตติ.. เราก็เข้าใจกันนะ เอ้อ.. จะเข้านิพพานอย่างไร? เข้านิพพานไม่ได้! ถ้าเข้าไปในนิพพานก็ไปขวางนิพพานอยู่นั่นไง ใครจะเข้าไปนิพพาน? นิพพานเข้าไม่ได้ แต่นิพพานเป็นได้ จิตเป็นนิพพาน จิตไม่ได้เข้าไปนิพพาน ถ้าจิตเข้านิพพาน

นี่กลัวไง เป็นโรคกลัวกัน กลัวว่าทำว่าเราจะไม่รู้จะไม่ได้ พอทำ เราต้องรู้ ต้องเห็น ต้องเก่งไปหมดเลยน่ะ ความเก่งนั่นคือทิฏฐิมานะ มันต้องทำลายทั้งความรู้ของเราทั้งหมด แล้วทำลายความเก่ง ทำลายทุกอย่างหมดเลย แล้วมันรู้โดยวิมุตติ รู้โดยวิมุตติรู้ได้อย่างไร ไม่ใช่เข้านิพพาน...เราเป็นนิพพาน! ตัวจิต อาสเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสูติ.. ตัวจิตเป็น พอตัวจิตขึ้นเป็นแล้ว นิพพานอยู่ที่ไหน ขอบเขตมันอยู่ที่ไหน ขอบเขตของนิพพานมันอยู่ที่ไหน สิ่งที่มีอยู่...ใช่ มันมีอยู่ในหัวใจ มันมีอยู่แน่นอน ปฏิสนธิจิต จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสปฏิสนธิ จิตเดิมแท้คือปฏิสนธิจิต ในปัจจุบันของเรานี้อาการของจิต ไม่ใช่ปฏิสนธิจิต เพราะมันรู้โดยตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็ใจ ใจปกครองด้วยอวิชชา ปกครองไว้ สื่อสารกันด้วยสามัญสำนึก สื่อสารด้วยการสื่อสาร

แต่ถ้าปัญญาเกิดจากจิต มันสงบเข้ามาทั้งหมดเลย แล้วมันเกิดขึ้นมา ภาวนามยปัญญาเกิดจากจิต ไม่ใช่เกิดจากสมอง เกิดจากสัญชาตญาณ คนเรา เด็ก ดูสิ เวลามีอุบัติเหตุมันจะหลบภัยตามธรรมชาติของมัน แล้วเวลากิเลสมันเกิดจากใจ ทำไมมันไม่หลบภัยล่ะ ทำไมมันหลบภัยไม่ได้ล่ะ เพราะมันอวิชชาไง ไม่รู้ว่าภัย แต่รู้กระทบ อวิชชาคือรู้อยู่ แต่รู้โดยไม่มีปัญญา ความรู้ไม่มีปัญญา แต่เวลามรรคญาณเกิดขึ้นมา เกิดความมัธยัสถ์ จิตคงที่ จิตว่าง จิตปล่อยวางหมด เกิดมัธยัสถ์ เกิดมรรคญาณ เกิดการทำลายกัน เกิดทำลายกันบนภวาสวะ-บนภพ-บนหัวใจนั้น บนหัวใจมีการทำลายกัน ทำลายกันด้วยอย่างไร สิ่งที่ทำลายกัน อะไรไปทำลายมัน? สิ่งที่ทำลาย มันทำลายมาตั้งแต่เริ่มต้นมาก่อน มันทำลายตั้งแต่สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิด ทำลายอุปาทานเข้ามาก่อน ทำลายกามราคะเข้ามาก่อน ทำลายเป็นชั้นๆ เข้ามา จนถึงตัวมัน ตัวภวาสวะ ตัวภพ ตัวอวิชชา ตัวพื้นฐาน ตัวฐานของความคิด

“จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส” ไอ้ผ่องใสๆ นี่แหละคือตัวอวิชชา แล้วถ้าเป็นอวิชชามันส่งออกมันเป็นมัธยัสถ์ได้อย่างไร มันเข้าไปตัวมันเองได้อย่างไร ถ้ามันหดเข้ามาตัวมันเอง มันเป็นมัธยัสถ์ในตัวมันเอง อาสเวหิ จิตตานิ.. ตัวภพ ตัวจิต ตัวมัธยัสถ์ ตัวกลับมาที่ตัวมัน สิ่งที่ตัวมัน ปฏิสนธิจิตมันอยู่ที่นี่ เราไม่เคยเห็นปฏิสนธิจิตกัน จิตรวมใหญ่ รวมใหญ่ได้ ๒ วิธี รวมใหญ่โดยสมาธิ กับรวมใหญ่กลับมาเป็นสมาธิ รวมใหญ่นี่เวลามันรวมเข้ามาแล้วมันถอดถอนกิเลสเข้ามา การรวมใหญ่ การจิตที่มันพัฒนา พัฒนาการของมัน จิตเวลาชำระกิเลส การชำระกิเลส มันชำระเป็นชั้นเป็นตอนของมันเข้ามานะ ถ้าไม่มีการชำระกิเลส จะพูดได้อย่างไร ถ้าไม่มีใครรู้ พูดไม่ได้ คนไม่รู้ไม่เห็นพูดไม่ได้ เรียนมาจนเป็นจะร้อยประโยค กี่ร้อยประโยคก็พูดไม่ได้

สิ่งที่พูดไม่ได้ มันพูดตามวิชาการ วิชาการมันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันไม่มีการฝึกฝน ไม่มีการเป็นไปของหัวใจ พอมันเป็นไปของหัวใจมันถอนขึ้นมา เวลากิเลสขาด ดั่งแขนขาด มันตัดแขนอย่างไร แล้วแขนอะไรมันขาดออกไป เวลาแขนขาดไปน่ะ มันขาด มีหนัง มีเนื้อ มีกระดูก มันขาดแล้วเส้นเอ็น ไม่ใช่ขาดห้อยร่องแร่งอย่างไร ขาดห้อยร่องแร่งมันก็ไม่ขาด ถ้ามันขาด มันขาดอย่างไร กิเลสขาดอย่างไร ถ้ามันขาดน่ะ สังโยชน์ขาดออกไปอย่างไร ถ้าสังโยชน์ขาดออกไป นี่พระปฏิบัติ นี่พระป่าเขาเคารพบูชากันตรงนี้ไง เคารพบูชากันโดยคุณธรรมในหัวใจ อาวุโส-ภันเตมันธรรมชาติ เคารพธรรมวินัย เราเป็นชาวไทยเราต้องเคารพกฎหมายไทย เราเป็นชาวพุทธ ธรรมและวินัย ศากยบุตรพุทธชิโนรส ธรรมและวินัยจะเป็นศาสดาของเรา ในเมื่อเราเคารพศาสดา เราก็เคารพอาวุโส-ภันเตโดยกฎหมาย โดยกฎหมายก็โดยธรรมวินัย แต่เคารพธรรมวินัย เคารพโดยกฎหมาย นี่สมมุติบัญญัติ

แต่เวลาจิตถ้าเป็นวิมุตติ พ้นจากสมมุติบัญญัติไป สิ่งที่สมมุติบัญญัติ นี่ปาปมุต พ้นไป เพราะพ้นไป เพราะพ้นเป็นวิมุตติ มันเหมือนเราทำความผิดโดยไม่มีเจตนา คนมีกรรมนะ กรรมของคนนี่มันมี ถึงเวลามันเป็นไปโดยกรรม “ธรรมะจัดสรร” มันเป็นไปโดยธรรมชาติของมัน ถึงที่สุดแล้วเป็นไปตามกรรม “สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม” เราจะฝืนกรรมนั้นไม่ได้ ฝืนกรรมการกระทำเป็นวิบาก ฝืนไม่ได้ แต่ฝืนหัวใจได้! ฝืนหัวใจโดยมรรคญาณนะ ถ้าจิต เวลากิเลสมันขาดไปแล้ว

ดูสิ พระโมคคัลลานะ เขาจะมาฆ่าพระโมคคัลลานะเพราะอะไร เพราะมันเป็นเรื่องกรรมเก่า เพราะว่าเคยฆ่าแม่ไว้ แต่ด้วยบุญญาธิการปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย-เบื้องขวา ต้องสร้างบุญญาธิการมา ถึงที่สุดน่ะถึงมาเกิดเป็นพระโมคคัลลานะ แล้วสำเร็จเป็นอัครสาวก เป็นพระอรหันต์ด้วย เวลามีปัจจุบันธรรม กรรมในปัจจุบันนั้น คือว่าลัทธิต่างๆ เขาต้องการทำลายศาสนา เพราะมันมีการแข่งขันกัน จะทำลายศาสนาพุทธต้องทำลายพระโมคคัลลานะก่อน พระโมคคัลลานะเป็นผู้ที่มีฤทธิ์ พอมีฤทธิ์ขึ้นมา จะไปจักรวาลต่างๆ ไปกามภพต่างๆ รูปภพ อรูปภพ วัฏฏะ ๓ แล้วเอามายืนยัน พระพุทธเจ้ามายืนยันว่า “ถูกๆๆ” ต้องฆ่าโมคคัลลานะก่อน ไปฆ่าถึง ๓ หนนะ เหาะหนี นี่ไง เวลาเหาะหนีไป เหาะหนีเหมือนเหาะได้ เพราะรู้อยู่ เพราะมีฤทธิ์มีเดช แต่พอพิจารณาของตัวเอง กรรมมันมาถึง กรรมเก่ามันมาถึง อยู่ให้เขาทุบจนแหลกเลย พอแหลกขึ้นมา ถ้าพวกเรา พอเจ็บปวดแล้วจิตใจมันหวั่นไหว แม้แต่อารมณ์กระทบเรายังคุมจิตเราไม่ได้เลย เพราะมันเจ็บปวด เขาทุบจนตายแล้ว ทำไมจิตไม่หวั่นไหวล่ะ เพราะเป็นพระอรหันต์ ฤทธิ์นั้นรวมร่างกายนั้นขึ้นมาเป็นปกติ เหาะไปลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน พอลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เธอจงพิจารณาตามความเหมาะสมของเธอ” แล้วเหาะกลับมาที่เก่า คลายฤทธิ์ออก มันก็แหลกเหมือนเดิม ความแหลกเหมือนเดิม นี่สอุปาทิเสสนิพพาน คือร่างกายกับความคิด ความคิด-ร่างกายเป็นเศษส่วน พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ “สอุปาทิเสสนิพพาน” พอสลัดทิ้ง “อนุปาทิเสสนิพพาน” พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่กับพระอรหันต์ที่ตายไปแล้ว มีค่าเท่ากัน เวลากิเลสขาดน่ะขาดตอนนั้น กิเลสมันขาดปั๊บ มันไม่มีทั้งการเกิดและการตาย การเกิดและการตายเป็นสมมุติทั้งหมด

สมมุติว่าจิตมันยังเป็นสมมุติ “จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสๆ” ถ้าพูดถึงพระอนาคามีที่ยังไม่ถึงพระอรหันต์...หลง! หลงว่าความผ่องใสนี้ ความสว่าง ความว่าง ตายเดี๋ยวนั้นเกิดเป็นพรหมเดี๋ยวนั้น เพราะมีภพ เพราะมีตัวจิต แต่ถ้ามันทำลายแล้ว มันไม่มีตัวจิตแล้ว มันจะไปเกิดที่ไหน นี่การเกิดถึงหลอกกัน พระอนาคามียังไม่เข้าใจเรื่องการเกิดและการตายถึงที่สุด พระอนาคามียังไม่เข้าใจ เพราะพระอนาคามีไปคาอยู่ที่ภพนั้น แต่ถ้าที่สิ้นสุดกระบวนการของมันนะ ทำลายภพ มันแทรกเข้ามาถึงตัวจิตเท่านั้น แล้วทำลายตัวมันเองแล้ว พอทำลายตัวมันเองแล้วมันจะไปเกิดที่ไหน มันไม่มีอะไรเกิด การเกิดและการตายเป็นของหลอก ของหลอกพระอรหันต์ แต่เป็นของจริงของเรา ของจริงเพราะมันจริงตามสมมุติ จริงตามวัฏฏะ จริงตามเวรตามกรรม

มีเวรกรรมก็ยังมีเวียนตายเวียนเกิดไปตามเวรตามกรรมนั้น ถ้าเวียนตายเวียนเกิดตามกรรมนั้น มันเวียนไป กรรมดี พาไป-ส่งไปที่ดี กรรมทำแต่ความชั่ว ทำกรรมมีแต่ความทุกข์ กรรมดี ความดีก็ส่งเสริมไป มันต้องมีต่อไป แต่ถ้ามันไม่ถึงที่สุดมันก็หมุนของมันไป แต่ถ้าถึงความเป็นจริงของมัน สิ้นสุดได้ด้วยความจริง แล้วสิ้นสุดอย่างไร? ถ้าสิ้นสุด นี่ตรัสรู้เองโดยชอบ ถ้าเป็นความเห็นของเรา...ไม่ชอบ! ชอบตามกิเลสไง ว่าง.. ว่าง.. ว่าง.. กิเลสมันชอบ! แต่ธรรมะไม่ชอบ! ธรรมะไม่ชอบ เป็นตามความเป็นจริงไม่ได้ ถ้าตรัสรู้เองโดยชอบ ธรรมะโดยชอบ ความชอบต้องทำลายมันต้องสิ้น

ความชอบ ชอบเป็นที่ไหน ความชอบเป็นที่ใจ เพราะเป็นที่ภพ เป็นที่ตัวใจ ตัวใจอันนั้นมันเป็นความจริงแล้ว มันจะแปรปรวนไม่ได้ อฐานะที่มันจะเปลี่ยนแปลง มันเป็นอฐานะ กุปปธรรม-อกุปปธรรม กุปปธรรม สัพเพ ธัมมา อนัตตา...ใช่ สัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวธรรมเป็นอนัตตา แต่ผลของอนัตตา ผลของการกระทำที่มันถึงอนัตตามันสิ้นกระบวนการของอัตตาและอนัตตา นั้นถึงมีนิพพาน มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ อรหัตตมรรค อรหัตตผล เวลามันสัมปยุตเข้าไป วิปยุตคลายตัวออกมา มันยังมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงอยู่ อรหัตตมรรค อรหัตตผล สิ้นสุดแล้ว มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ อรหัตตผล นี่ยถาภูตัง เกิดญาณทัศนะ ยถาภูตังทำลายหมดแล้ว ความรู้ว่าทำลายแล้ว สิ่งที่หลุดออกไป สิ้นกระบวนการของมัน พ้นออกไป แต่มีอยู่ ความเป็นอยู่มันพูดได้ คนที่รู้จริงทำจริงถึงพูดได้ คนไม่รู้จริงนะ สิ่งที่กระบวนการ ถ้าไม่เป็นความจริง มันไม่ออกมาอย่างนี้หรอก ออกมาอย่างนี้ไม่ได้

ถึงว่ามันหันของโลก ให้มันหันกันไป...ไม่เกี่ยว ของโลกเขา แต่ถ้ากระบวนการของเรานะ กระบวนการของศาสนา ถ้าศาสนายังสะเปะสะปะ ศาสนายังคลอนแคลน ศาสนายังไม่มีความมั่นคง มันก็เป็นอย่างนั้นน่ะ ธรรมะเสื่อมๆ มันเสื่อมจากหัวใจของมนุษย์ มันเสื่อมจากหัวใจที่เข้าไปสัมผัสมัน ถ้าใจของคนเข้าไปสัมผัสถึงความจริง มันมีความลังเลสงสัย มันมีอวิชชา มันบังหูบังตาไว้ ตัวเองก็ว่าหันกันไปนะ เพราะเราไปตื่นไง เรามีของจริง ถ้าที่ไหนมีของจริง มันจะมีของเทียมมาประกบ ถ้ามีของจริง เงิน ดูสิ ถ้ามีเงิน เขาก็ใช้จ่าย มันก็จะมีเขาทำเงินปลอมมา เพื่อเขาจะเอาความสะดวกสบาย นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นความจริงแล้วไม่ต้องโฆษณา ไม่ต้องหวั่นไหว ไม่ต้องการสิ่งใดทั้งสิ้น มันถึงที่สุดมันเป็นของมันเอง

พระอรหันต์อยู่ในป่าในเขาก็มี ไม่ออกมายุ่ง เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าความเห็นต่างน่ะ ความเห็นของธรรมกับความเห็นของโลกมันต่างกันนะ ความเห็นของธรรมมันเป็นของชั่วคราวทั้งหมดล่ะ เรามาอยู่ชั่วคราว เราจะไปจริงจังกับมันเราทุกข์ตายห่าเลย แต่ถ้าเราอยู่กับมัน.. น้ำบนใบบัว เราอยู่กับเขา เราเกิดมีร่างกายและจิตใจนะ เราเกิดมามีร่างกายและจิตใจ แล้วปฏิสนธิจิตมันเป็นจิตใจหรือเปล่า ปฏิสนธิจิต ตัวที่หมุนไปในวัฏฏะ แต่จิตใจของเรา จิตใจโดยสมมุติไง จิตใจโดยสื่อสาร ดูสิ ภาษาสมมุติ ภาษาโลกแต่ละภาษามันก็แตกต่างกันไป นี่จริงตามสมมุติ

แต่ถ้ามีสติสัมปชัญญะ เราจริงตามสมมุติ “โลกนี้คือละคร” เราได้เกิดมาชาติหนึ่ง ละครนี้เราจะจบอย่างไร เราจะเอาชีวิตของเราจบกระบวนการของชาตินี้อย่างไร ถ้ากระบวนการของชาตินี้จบในสิ่งที่ดี จบแล้วจะไม่หมุนกลับมา แต่ถ้าไม่จบนะ “โลกนี้คือละคร” จะได้บทใหม่ต่อไปเรื่อยๆ จะมีบทใหม่ต่อไป จะเกิดอีก จะเป็นอีก จะปฏิเสธด้วยปาก จะปฏิเสธด้วยความคิด ปฏิเสธไปเถิด แต่สิ่งที่มีอยู่ เหตุปัจจัยมีอยู่ มันต้องเป็นไปตามธรรมชาติของมัน เป็นไปตามความจริง

ถ้าไม่มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีกระบวนการการรู้อย่างนี้

“บุพเพนิวาสานุสติญาณ” อดีตชาติมันเป็นอย่างไร

“จุตูปปาตญาณ” ถ้าไม่สิ้นสุด มันจะไปเกิดอย่างไร

“อาสวักขยญาณ” มันทำลายหัวใจอย่างไร ทำลายจิต ทำลายหัวใจ ทำลายทั้งหมด ยิ่งทำลายยิ่งใสสะอาด ยิ่งทำลาย กระบวนการถึงจบสิ้น

ไม่มีการทำลายเลย “นิพพานๆ”...นิพพานมันซุกไว้ใต้พรมน่ะ นิพพานของกิเลสไง มันไม่ใช่นิพพานความจริงหรอก นี่ตามความเป็นจริง ธรรมะเหนือโลก ธรรมะไม่ใช่ธรรมชาติ ธรรมชาติคือการเกิดและการตาย ชีวิตเราเป็นธรรมชาติ สุข-ทุกข์ก็เป็นธรรมชาติ เดี๋ยวก็สุข-เดี๋ยวก็ทุกข์มันหมุนเวียนอยู่นี่ มันเป็นธรรมชาติไหม? ถ้าไม่ธรรมชาติ ปิดมัน อย่าให้มันเกิดสิ เวลาสุข-ทุกข์ ปิดให้มันอยู่ให้ได้...มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น แต่เพราะเราไปยึดมัน

แต่พอพระอรหันต์ พระอรหันต์หิวข้าวไหม พระอรหันต์บิณฑบาตทำไม พระอรหันต์ต้องทุกข์ ต้องไปหาหมอทำไม ก็มีอาการของมัน กระบวนการของมันมีอยู่โดยธรรมชาติของมัน แต่พระอรหันต์ไม่ทุกข์กับมัน รู้ตามความเป็นจริงแล้วทิ้งมันไว้ที่นั่น ไม่เกี่ยวกัน อยู่ด้วยกัน ไม่ใช่อันเดียวกัน

แต่เราอยู่ด้วยกันแล้วกอดมัน กอดแล้วกลัวจะไม่เป็นของเราไง เรียนก็กลัวจะไม่รู้ ปฏิบัติก็กลัวใจไม่รู้ เอ้า.. ก็ไอ้กลัวจะไม่รู้นั่นน่ะ มันจะไม่รู้อะไรเลย...ทิ้งมันให้หมด! แล้วมันจะรู้จริง รู้ตามความเป็นจริง เอวัง